บริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยใช้แนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อควบคุมการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อป้องกันผลกระทบและผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่นำมาใช้ รวมถึงมีระบบการติดตามคุณภาพ มลภาวะหรือของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต นอกเหนือไปจากนั้นยังมีเป้าหมายในการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมให้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์และมีคุณภาพที่ดีกว่าที่มาตรฐานกำหนด

นโยบายสิ่งแวดล้อมและสังคม

บริษัทฯ ตั้งใจที่จะนํานโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม มาเป็นกรอบในการดำเนินธุรกิจและแนวทางการดำเนินงานในทุกกระบวนการและกิจกรรม ครอบคลุมถึงกระบวนการศึกษาความเหมาะสมสำหรับการลงทุนโครงการใหม่ การตรวจสอบข้อมูลสำหรับการควบรวมและซื้อกิจการ การประเมินคู่ค้าสำคัญทางธุรกิจทั้งของบริษัทฯ บริษัทย่อย และกิจการที่บริษัทฯ มีอำนาจบริหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งจะส่งเสริมให้บริษัทร่วมทุน ผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศดําเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และนํานโยบายฉบับนี้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ หรือประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม

ประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมของนโยบาย
  • ยึดถือและปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ให้ครบถ้วน
  • ให้ความสำคัญกับการจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิต และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องใช้ทรัพยากร พลังงาน และน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณการปล่อยมลสาร และก๊าซเรือนกระจก
  • กำหนดเป้าหมายการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามเกณฑ์ของกฎหมาย
  • ส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารห่วงโซ่อุปทาน การจัดหาสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนวัตกรรมที่ช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและลดก๊าซเรือนกระจกได้
  • ต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า มุ่งมั่นส่งเสริมการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อปกป้องและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

ข้อมูลเพิ่มเติม: นโยบายสิ่งแวดล้อมและสังคม

โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ ได้ดำเนินการผลิตพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไฟฟ้าของประเทศทั้งจากที่เป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล และแหล่งพลังงานทดแทน โดยการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีการใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้และได้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมาก (ร้อยละ 83 ของปริมาณการผลิตสุทธิของโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่มบริษัทฯ ในปี 2567) ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของระบบไฟฟ้าหรือตามที่ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติสั่งการ ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทนนั้นไม่มีการใช้เชื้อเพลิงในการผลิต ปริมาณพลังงานไฟฟ้าจึงผันแปรตามสภาพธรรมชาติ (ร้อยละ 17 ของปริมาณการผลิตสุทธิของโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่มบริษัทฯ ในปี 2567)

นอกจากนี้ การผลิตพลังงานไฟฟ้ายังต้องใช้น้ำเป็นวัตถุดิบประกอบด้วย เช่น การใช้น้ำในระบบหล่อเย็น การผลิตน้ำปลอดแร่ธาตุเพื่อนำมาใช้ในหม้อต้มน้ำ (Boiler) เป็นต้น โรงไฟฟ้าของบริษัทฯ จะใช้วิธีดึงน้ำจากแหล่งน้ำมาใช้ใน 2 รูปแบบ คือ สูบตรงจากแหล่งน้ำดิบ เช่น น้ำผิวดิน (แม่น้ำลำคลอง) น้ำใต้ดิน และการซื้อน้ำดิบหรือน้ำที่ปรับปรุงคุณภาพแล้วอย่างน้ำประปามาใช้ ซึ่งทั้งสองรูปแบบจะคำนึงถึงระดับความตึงเครียดของแหล่งน้ำ (Water Stress) ในพื้นที่ลุ่มน้ำที่กิจการนั้นพึ่งพาอยู่ด้วย

ในปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าที่อยู่ในขอบเขตการรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม รวม 7 แห่ง เพิ่มขึ้น 1 แห่งจากปี 2566 คือ โรงไฟฟ้าหินกองเพาเวอร์ (ชุดที่ 1) กำลังการผลิต 770 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 7 แห่งมีสัดส่วนรายได้ที่ร้อยละ 62.05 ของรายได้รวม

การกำกับดูแลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม

ภายใต้การพัฒนาและดำเนินงานระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Management System : ESMS) บริษัทฯ ได้มีการประกาศนโยบายสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมมอบหมายบุคลากรเพื่อทำหน้าที่ตามโครงสร้างกำกับดูแลระบบ ESMS ไว้อย่างครบถ้วน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและปฏิบัติตามคู่มือและวิธีการที่กำหนด ตลอดจนรายงานผลการปฏิบัติจากทุกสายงานให้คณะกรรมการฯ คณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบเพื่อการปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

โครงสร้้างการบริิหารจัดการระบบ ESMS

กรอบการดำเนินงานระบบ ESMS

ใช้หลักการ PDCA (Plan-Do-Check-Act) เพื่อให้การทำงานเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายในการปรับปรุงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องตามข้อกำหนด

การใช้เชื้อเพลิงและพลังงาน

ในปี 2567 ภาพรวมการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและพลังงานไฟฟ้า เพื่อนำไปผลิตพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำของโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและเป็นโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ มีอำนาจบริหารจัดการ จำนวน 7 แห่ง (กำลังผลิตรวม 5,118 เมกะวัตต์) ได้แก่ โรงไฟฟ้าราชบุรี โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น โรงผลิตไฟฟ้านวนคร โรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง โรงไฟฟ้าราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี และโรงไฟฟ้าหินกอง (ชุดที่ 1) รวมทั้งสิ้น 100,976 ล้านเมกะจูล จำแนกเป็น

  • ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ รวม 48,919 ล้านเมกะจูล (13,588,671 เมกะวัตต์-ชั่วโมง)
  • ปริมาณพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำที่จำหน่าย รวม 47,622 ล้านเมกะจูล (13,228,268 เมกะวัตต์-ชั่วโมง) และ 1,301 ล้านเมกะจูล (466,328 ตัน) ตามลำดับ

สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี กำลังการผลิตติดตั้งรวม 3,645 เมกะวัตต์ ในปีนี้มีเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 ชุด ชุดละ 725 เมกะวัตต์ ที่เดินเครื่องผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซธรรมชาติ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังความร้อน 2 เครื่อง เครื่องละ 735 เมกะวัตต์ ถูกสั่งให้หยุดเดินเครื่องในลักษณะเตรียมพร้อม (reserved shutdown)

ปริมาณการใช้/การผลิต หน่วย ปี 2567 ปี 2566 ปี 2565
ปริมาณก๊าซธรรมชาติ ล้าน ลบ.ฟุต 98,991 87,674 149,202
ล้านเมกะจูล 100,970 89,428 152,186
ปริมาณน้ำมันเตา ลิตร 0 92,755,799 290,691,483
ล้านเมกะจูล 0 3,689 11,561
ปริมาณน้ำมันดีเซล ลิตร 153,445 6,168,914 21,881,178
ล้านเมกะจูล 6 225 797
ปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่นำเข้าจากระบบส่ง เมกะวัตต์-ชั่วโมง 52,172 40,813 46,905
ล้านเมกะจูล 188 147 169
ปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่มาจากพลังงานทดแทน เมกะวัตต์-ชั่วโมง 17,085 16,600 13,860
ล้านเมกะจูล 62 60 50
ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมด เมกะวัตต์-ชั่วโมง 13,588,671 11,141,093 18,958,341
ล้านเมกะจูล 48,919 40,108 68,250
ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตส่งจำหน่าย เมกะวัตต์-ชั่วโมง 13,228,268 10,842,852 18,488,776
ล้านเมกะจูล 47,622 39,034 66,560
ปริมาณไอน้ำที่ผลิตส่งจำหน่าย ตัน 466,328 459,544 475,252
ล้านเมกะจูล 1,301 1,292 1,338
แนวทางและเป้าหมายการใช้เชื้อเพลิงและพลังงาน
ปัจจัยสำคัญ แนวทางการดำเนินงาน เป้าหมายปี 2567 ผลการดำเนินงานปี 2567
การออกแบบระบบเผาไหม้
  • ออกแบบและเลือกเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการเผาไหม้สูงสุด เพื่อให้การใช้เชื้อเพลิงต่อหน่วยคุ้มค่าที่สุด
โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งมีอัตราการใช้ความร้อน (Heat rate) เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
  • เป้าหมาย IPP = 6,885 Btu/kWh
  • เป้าหมาย SPP = 7,684 Btu/kWh
อัตราการใช้ความร้อนเป็นไปตามเป้าหมายที่โรงไฟฟ้าส่วนใหญ่กำหนด
  • โรงไฟฟ้า IPP มีค่าเฉลี่ยที่ 6,879 Btu/kWh
  • โรงไฟฟ้า SPP มีค่าเฉลี่ยที่ 7,838 Btu/kWh
ความพร้อมของเครื่องจักร/อุปกรณ์
  • กำหนดแผนงานและบำรุงรักษาเครื่องจักรให้ได้ตามแผน (งานบำรุงรักษาใหญ่ / งานบำรุงรักษาย่อย) เพื่อคงประสิทธิภาพการผลิตที่ปลอดภัยและใช้เชื้อเพลิงได้อย่างคุ้มค่า
  • ติดตามตรวจสอบการรั่วไหลของระบบเก็บและส่งเชื้อเพลิง และบำรุงรักษาตามแผนงาน
โรงไฟฟ้าทุกแห่งสามารถทำการบำรุงรักษาเครื่องจักร/อุปกรณ์ได้สมบูรณ์และแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ (Planned Outage) การบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าปี 2567 เป็นไปตามแผนงานที่โรงไฟฟ้าทุกแห่งกำหนด
ประสิทธิภาพการผลิต
  • สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานและคู่ค้าผู้ให้บริการงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาเพื่อคิดค้นและพัฒนาโครงการ/กิจกรรมลดการใช้พลังงาน/เชื้อเพลิง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายการลดใช้พลังงาน/เชื้อเพลิงที่กำหนด โรงไฟฟ้าทุกแห่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการลดใช้พลังงาน/เชื้อเพลิงได้ตามเป้าหมาย (ร้อยละ 100) โดยมีค่าเฉลี่ยของประสิทธิภาพการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 43.67-67.34

การบริหารจัดการน้ำ

จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของแหล่งน้ำดิบ ทั้งกรณีน้ำแล้งและน้ำท่วม หรือปัญหาการลุกล้ำของน้ำเค็มในบางช่วงฤดูกาล ทำให้กลุ่มบริษัทฯ ต้องบริหารจัดการน้ำเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการได้น้ำดิบที่เป็นวัตถุดิบมาใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าและการแย่งชิงน้ำใช้กับชุมชนหรือพื้นที่เกษตรกรรม

บริษัทฯ ได้จัดทำกระบวนการประเมินความเสี่ยงเรื่องน้ำ (Water Risk Assessment Procedure) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESMS) เป็นเครื่องมือในการประเมินความเสี่ยงตามเกณฑ์ของ WWF Water Risk Filter, World’s Resources Institute (WRI) Aqueduct เพื่อใช้วิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เช่น ด้านข้อกำหนดของกฎหมาย ด้านการเงิน ด้านปริมาณ/คุณภาพและสมดุลการใช้น้ำ และกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับการใช้น้ำ จากนั้นจึงนำมาจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำ

การประเมินระดับความตึงเครียดของน้ำและการบริหารจัดการน้ำ

แหล่งน้ำดิบสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตหลักของกลุ่มบริษัทฯ ในปี 2567 ยังคงเป็น 3 ลุ่มน้ำหลัก ได้แก่ ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำบางปะกง ซึ่งแม่น้ำแม่กลองจะนำมาใช้เป็นแหล่งน้ำดิบโดยตรงสำหรับโรงไฟฟ้าในจังหวัดราชบุรี และลุ่มแม่น้ำบางปะกง สำหรับโรงไฟฟ้าในจังหวัดชลบุรี และระยอง ส่วนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจะเป็นแหล่งน้ำที่ผู้จัดหาน้ำนำมาใช้ในการผลิตน้ำประปาเพื่อนำส่งให้กลุ่มโรงไฟฟ้าในจังหวัดปทุมธานีใช้ในกระบวนการผลิต

ผลการประเมินระดับความตึงเครียดของน้ำในปี 2567 ของ 3 ลุ่มแม่น้ำดังกล่าว พบว่า ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำบางปะกง จัดอยู่ในระดับที่มีความตึงเครียดของน้ำสูง (40-80%) จึงได้มีการกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยง และมาตรการบริหารจัดการการใช้น้ำของโรงไฟฟ้า เพื่อให้สามารถคงศักยภาพในการผลิตและไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชนในการแย่งชิงทรัพยากรน้ำ

แนวทางการบริหารความเสี่ยงและมาตรการการจัดการทรัพยากรน้ำ

สำหรับโรงไฟฟ้าที่มีการใช้น้ำดิบและน้ำประปาจากแหล่งลุ่มน้ำที่มีระดับความตึงเครียดสูง จะมีแนวทางและมาตรการดำเนินการดังนี้

  • โรงผลิตไฟฟ้านวนคร และโรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี ใช้น้ำประปาจากแหล่งน้ำดิบในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในการผลิตไฟฟ้า โดยมีสัญญาซื้อขายน้ำประปากับผู้ให้บริการน้ำประปาระยะยาว 25 ปี (ตลอดอายุโรงไฟฟ้า)
  • โรงไฟฟ้าราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี (ชื่อเดิม : สหโคเจน (ชลบุรี)) ในจังหวัดชลบุรี และโรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง ในจังหวัดระยอง ใช้น้ำดิบจากลุ่มแม่น้ำบางปะกงโดยตรง ผ่านสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับผู้ให้บริการน้ำดิบระยะยาว 10 ปี และ 25 ปี ตามลำดับ
  • โรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายน้ำดิบหรือน้ำประปาจะกำหนดให้ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปา ต้องจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และแหล่งน้ำฉุกเฉินเพื่อรองรับกระบวนการผลิตให้ได้อย่างต่อเนื่อง กรณีที่เกิดภัยแล้งหรือการขาดแคลนน้ำในแหล่งลุ่มน้ำหลัก
  • โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งจัดให้มีบ่อหรือระบบเก็บน้ำสำรองเพื่อให้ใช้ภายในโครงการได้อย่างน้อย 10 วัน และติดตั้งระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนเข้าระบบการผลิต
  • ทำการเพิ่มรอบการใช้น้ำหมุนเวียนในระบบหล่อเย็นให้ได้มากที่สุด เพื่อลดการดึงน้ำดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต
  • เพิ่มการใช้น้ำซ้ำภายในโครงการ เช่น การนำน้ำทิ้งที่ผ่านกระบวนการผลิตแล้วมาบำบัดด้วยระบบ RO เพื่อให้ได้คุณภาพและนำกลับไปใช้ในกระบวนการผลิต การนำน้ำฝนมาใช้ประโยชน์ในกระบวนการผลิต หรือนำมาใช้ในการล้างเครื่องจักรอุปกรณ์/รดน้ำต้นไม้
  • ทำการตรวจสอบระบบและท่อส่งน้ำเพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำดิบและน้ำประปาตามแผนอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการสูญเสียน้ำ
การใช้น้ำหมุนเวียนในกระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้น้ำ

โรงไฟฟ้าทุกแห่ง มีเป้าหมายที่จะรักษาและเพิ่มจำนวนรอบการใช้น้ำหมุนเวียนระบบหล่อเย็นให้มากที่สุด เพื่อลดการดึงน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมาชาติให้ได้มากที่สุด โดยโรงไฟฟ้า 7 แห่ง (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62.5 ของกำลังการผลิตประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิล) ดำเนินการได้ตามเป้าหมายจำนวนรอบใช้น้ำซ้ำในระบบหล่อเย็น

โรงไฟฟ้า จังหวัด เป้าหมายรอบการใช้น้ำ
(รอบ)
จำนวนรอบ
การใช้น้ำเฉลี่ย
(รอบ)
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี 2 เครื่อง
เครื่องละ 735 เมกะวัตต์ (รวม 1,470 เมกะวัตต์)
ราชบุรี ไม่กำหนดเนื่องจาก
ไม่มีการเดินเครื่อง
-
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี 3 ชุด
ชุดละ 725 เมกะวัตต์ (รวม 2,175 เมกะวัตต์)
4-6 4.88
โรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 1 (770 เมกะวัตต์) 4-5 4.27
โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น (99.46 เมกะวัตต์) 3-5 3.58
โรงผลิตไฟฟ้านวนคร 2 ชุด (รวม 201.57 เมกะวัตต์) ปทุมธานี 4 4.37
โรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น (119.75 เมกะวัตต์) 6 7.77
โรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น (ส่วนขยาย) (31.2 เมกะวัตต์) 5 5.93
โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง (98 เมกะวัตต์) ระยอง 5-10 6.26
โรงไฟฟ้าราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี (153 เมกะวัตต์) ชลบุรี 5-13 (ชุดที่ 1) 6.78
3-8 (ชุดที่ 2-3) 4.70

นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าราชบุรีที่เป็นโรงไฟฟ้า IPP หลักของบริษัทฯ (ขนาด 3,645 เมกวัตต์) มีเป้าหมายที่จะลดการใช้น้ำดิบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ที่ยังคงมีการเดินเครื่องตลอดทั้งปี เพื่อช่วยรักษาระดับความตึงเครียดของแหล่งน้ำใช้ในลุ่มแม่น้ำแม่กลองให้คงอยู่ในระดับไม่สูงต่อไป ในปี 2567 โรงไฟฟ้าราชบุรีสามารถลดการใช้น้ำดิบได้รวม 3,355,191 ลูกบาศก์เมตร

ภาพรวมการบริโภคน้ำของกลุ่มบริษัทฯ (โรงไฟฟ้าราชบุรี)
การลดการใช้น้ำ เทียบเป็นปริมาณน้ำดิบที่ลดได้ (ลบ.ม.) รวมปริมาณน้ำที่ลดได้ เพื่อทดแทนการใช้น้ำดิบ (ลบ.ม.) เป้าหมาย (ลบ.ม.)
การหมุนเวียนการใช้น้ำในระบบหล่อเย็น 2,360,317 3,355,191 2,000,000
การใช้ระบบ RO เพื่อนำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่ 304,425
การนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วมาใช้ในงานล้างทำความสะอาดอุปกรณ์/ดูแลพื้นที่สีเขียว 690,449
เปรียบเทียบปริมาณการใช้น้ำและสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าตามระดับความตึงเครียดของน้ำ
โรงไฟฟ้า แหล่งน้ำที่ใช้ ระดับความตึงเครียดของน้ำ ปริมาณน้ำที่นำมาใช้ ปริมาณน้ำทิ้ง ปริมาณการใช้น้ำสุทธิ (น้ำดิบ-น้ำทิ้ง) ปริมาณน้ำที่ใช้ต่อหน่วยการผลิต (ลบ.ม./
เมกะวัตต์-ชั่วโมง)
สัดส่วนการผลิตไฟฟ้า (ร้อยละ)
ต่ำ-ปานกลาง (10-20%) ปานกลาง-สูง (21-40%) สูง
(41-80%)
(ล้าน ลบ.ม.)
ราชบุรี น้ำดิบจากลุ่มแม่น้ำแม่กลอง - - 4.57 1.14 3.44 1 34.45
เบิกไพร
โคเจนเนอเรชั่น
- - 0.91 0.27 0.64 1.49 4.62
หินกอง (ชุดที่ 1) - - 5.21 1.31 3.91 1.07 36.73
นวนคร น้ำประปาที่ผลิตจากแม่น้ำเจ้าพระยา - - 1.81 0.62 1.19 1.61 8.48
ราช โคเจนเนอเรชั่น - - 0.94 0.19 0.75 1.24 5.78
ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง น้ำดิบจากลุ่มแม่น้ำบางปะกง - - 0.71 0.12 0.59 1.17 4.59
ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี - - 1.71 0.54 1.17 2.42 5.35

การจัดการของเสีย

ในปี 2567 การบริหารจัดการของเสียทั้งประเภทที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตรายจากกระบวนการผลิต การบำรุงรักษา และกิจกรรมในอาคารสำนักงาน ยังคงยึดใช้หลัก 3R คือ การพยายามลดการใช้ (Reduce) การนำใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำกลับเข้าสู่กระบวนการให้สามารถกลับมาใหม่ได้ (Recycle) เพื่อตอบสนองเป้าหมายการฝังกลบของเสียอันตรายให้เป็นศูนย์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ริเริ่มกำหนดเป้าหมายปริมาณของเสียไม่อันตรายของกลุ่มบริษัทฯ ด้วย

เป้าหมายและแนวทางการจัดการของเสีย
เป้าหมาย แนวทางการจัดการของเสีย
ของเสียอันตราย ลดการกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Hazardous Waste to Landfill)
  • จัดทำรายการ และวางแผนการใช้ทรัพยากร/วัสดุในงานบำรุงรักษาตามแผนการซ่อมบำรุงตามรอบในแต่ละวาระ โดยประเมินความเหมาะสมและความจำเป็นของการใช้ในทุกกระบวนการทำงาน เพื่อลดของเสียที่แหล่งกำเนิด (Reduce) ให้มีน้อยที่สุด
  • จัดการวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำกลับมาใช้ซ้ำให้ได้มากที่สุด (Reuse) โดยนำกลับมาซ่อมแซม หรือนำกลับเข้าสู่การรีไซเคิล
  • เลือกวิธีการกำจัด (Disposal) ของเสียอย่างเหมาะสม โดยเลือกคู่ค้าผู้รับกำจัดที่ใช้วิธีการ Reuse หรือ Recycle เป็นลำดับแรก ที่เหลือจึงเลือกใช้วิธีการเผาแบบที่ได้และไม่ได้พลังงาน โดยหลีกเลี่ยงการนำขยะอันตรายไปฝังกลบ
  • ดำเนินการขออนุญาตและนำของเสียส่งกำจัดตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด และติดตามผลการดำเนินงานจนแล้วเสร็จ
ของเสียไม่อันตราย

โรงไฟฟ้าสงขลาไบโอ แมส

  • ลดการสูญเสียวัตถุดิบรากไม้ให้เหลือร้อยละ 5-10 ของวัตถุดิบรากไม้ที่ต้องเหลือทิ้งเดิม (ร้อยละ 20) จากการนำเข้าวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวลของโรงงานไฟฟ้า

ราช กรุ๊ป

  • ปริมาณขยะทั่วไปไม่ให้เกินปริมาณขยะปีฐาน
    (ปี 2566)
ผลการจัดการของเสียของโรงไฟฟ้า

ในปี 2567 กลุ่มโรงไฟฟ้ารวม 7 แห่ง ที่มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นร้อยละ 62.05 ของรายได้รวมปี 2567 ดำเนินการจัดการของเสียด้วยวิธีนำกลับไปใช้ใหม่ด้วยกระบวนการ Recovery คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.11 ของปริมาณของเสียทั้งหมด และนำไปกำจัด ร้อยละ 97.89 โดยในปี 2568 โรงไฟฟ้าหินกองจะนำกากตะกอนจากระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำไปใช้ประโยชน์แทนการฝังกลบต่อไป รายละเอียดเป็นดังนี้

การจัดการ วิธีการจัดการ ปริมาณของเสีย (ต้น) ปริมาณรวม (ตัน) ร้อยละ
อันตราย ไม่อันตราย
ร้อยละ 2.11 การนำกลับไปใช้ใหม่ด้วยกระบวนการ Recovery นำกลับไปใช้ใหม่ (Reuse) 0 0 0 -
นำไปรีไซเคิล (Recycle) เช่น ขยะจากสำนักงาน (แก้ว กระดาษ พลาสติก) 6.25 20.85 27.10 1.03
นำกลับไปใช้ใหม่ด้วยวิธีอื่น (Other Recovery Operations) เช่น เศษวัสดุก่อสร้าง น้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว 22.44 6.99 29.43 1.10
ร้อยละ 97.89 การนำไปกำจัด (Disposal) เผาแล้วได้พลังงานกลับมาใช้ (Incineration with Energy Recovery) เช่น เศษผ้าเปื้อนน้ำมัน 0.60 25.76 26.36 0.99
เผาทิ้งโดยไม่ได้พลังงานมาใช้ (Incineration without Energy Recovery) เช่น ของเสียที่มีน้ำมันปนเปื้อน 0 27.39 27.39 1.02
ฝังกลบ (Landfilling) เช่น กากตะกอนจากระบบปรับปรุง/บำบัดน้ำเสีย 2,224.74 37.57 2,262.31 84.62
กำจัดด้วยวิธีการอื่น (Other Disposal Operations) เช่น กากตะกอน 17.85 283.02 300.87 11.25

การจัดการคุณภาพอากาศ

การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนและความร้อนร่วมจำเป็นจะต้องมีการระบายอากาศเสียที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ออกสู่ชั้นบรรยากาศ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญและเข้มงวดในการควบคุมและจัดการมลสารสำคัญต่างๆ ได้แก่ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน และฝุ่นละอองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานการระบายอากาศที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด

ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องโรงไฟฟ้า (ประเทศไทย)

โรงไฟฟ้าในประเทศไทย รวม 7 แห่ง ที่บริษัทฯ มีอำนาจบริหารจัดการ (สัดส่วนรายได้ ร้อยละ 62.05 ของรายได้รวม) มีการตรวจวัดความเข้มข้นของปริมาณมลสารจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงตามที่กฎหมายกำหนดอย่างต่อเนื่องผ่านระบบ CEMS (Continuous Emission Monitoring Systems) หรือการสุ่มเก็บตัวอย่างคุณภาพอากาศจากปล่องเพื่อตรวจวัดปริมาณมลสาร ในปีนี้ค่ามลสารจากการตรวจวัดของโรงไฟฟ้าทุกแห่งยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่อง ได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของการตรวจวัด โดยหน่วยงานภายนอกตามแผนงานทุกปีด้วย ทำให้มั่นใจว่า ข้อมูลที่รายงานต่อหน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแลมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ

โรงไฟฟ้า ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของปริมาณมลสารจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ระบายจากโรงไฟฟ้า
NOX (ppm) SO2 (ppm) เชี้อเพลิงสำรอง
ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี หยุดเดินเครื่องในลักษณะ reserved shutdown น้ำมันเตา
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี 33.7 - 2.72 - น้ำมันดีเซล
เป้าหมาย (ไม่เกินค่ามาตรฐานกฎหมาย)* 120 180 20 320 -
โรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่1 45.33 0 0.59 0 น้ำมันดีเซล
เป้าหมาย (ไม่เกินมาตรฐานตามข้อกำหนดใน EIA) 59 99 10 20 -
โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น 34.29 - <0.1 - ไม่มี
โรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น 42.01 - <1 - ไม่มี
โรงผลิตไฟฟ้านวนคร 24.79 - 0.67 - ไม่มี
โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง 37.82 - 0.51 - ไม่มี
เป้าหมาย (ไม่เกินมาตรฐานตามข้อกำหนดใน EIA) 60 - 10 - -
โรงไฟฟ้าราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี หน่วยที่ HRSG#4 58.77 - 0.57 - ไม่มี
เป้าหมาย (ไม่เกินมาตรฐานตามข้อกำหนดใน EIA) 108 - 18 - -
โรงไฟฟ้าราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี หน่วยที่ HRSG#5 20.54 - 0.36 - ไม่มี
เป้าหมาย (ไม่เกินมาตรฐานตามข้อกำหนดใน EIA) 90 - 15 - -
โรงไฟฟ้าราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี หน่วยที่ HRSG#6 41.78 - 0.34 - ไม่มี
เป้าหมาย (ไม่เกินมาตรฐานตามข้อกำหนดใน EIA) 60 - 10 - -
หมายเหตุ : * ค่ามาตรฐานตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการกำหนดค่าปริมาณของสารเจือปนในอากาศที่ระบายออกจากโรงงานผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า พ.ศ. 2547
ระบบเฝ้าระวังคุณภาพอากาศจากปลายปล่อง

โรงไฟฟ้า กำหนดมาตรการแจ้งเตือนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปลายปล่อง พบค่ามลสารสูงขึ้นจนถึงร้อยละ 80-85 (High Alarm) หรือร้อยละ 95 (High High Alarm) ของเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนบนจอควบคุม ซึ่งผู้รับผิดชอบจะดำเนินการตรวจสอบกระบวนการผลิตและความถูกต้องของระบบตรวจวัด หากพบความผิดปกติจะทำการปรับปรุงแก้ไขให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมรายงานหน่วยงานกำกับดูแลและที่เกี่ยวข้องรับทราบ หากยังไม่สามารถแก้ไขได้จะทำการลดการผลิตไปจนถึงหยุดการผลิต จนกว่าจะสามารถแก้ไขกลับสู่ปกติได้

กระบวนการแจ้งเตือน

ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในชุมชน

ปี 2567 โรงไฟฟ้าทั้ง 7 แห่งมีการติดตามตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศในพื้นที่ชุมชนโดยรอบโครงการ ตามจุดที่ตั้งสถานีตรวจวัด และรอบการตรวจวัดแต่ละช่วงฤดูกาลที่กำหนดไว้ใน EIA หรือ EHIA สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีที่เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะมีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศ (AAQMs : Ambient Air Quality Monitoring Systems) รอบโรงไฟฟ้าแบบถาวรจำนวน 4 สถานี เพื่อวัดค่าให้ได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีหน่วยงานภายนอกเข้าตรวจสอบประสิทธิภาพและความถูกต้องของเครื่องตรวจวัดเป็นประจำทุกปี

ผลตรวจตรวจวัด
คุณภาพอากาศ
ในชุมชนรอบโรงไฟฟ้า
ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ค่าเฉลี่ย 1 ชั่วโมง
ฝุ่นละอองรวม (μg/m3) ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (μg/m3) SO2 (ppb) SO2 (ppb) NO2 (ppb) O3 (ppb)
โรงไฟฟ้าราชบุรี 9-132 8-122 0-6 0-8 0-41 0-138
โรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่1 17-100 5-46 4-5 4-6 3-12 ไม่ตรวจวัด
โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น 21-84 7-50 0.8-4.2 0.1-5.5 1.5-19.8 ไม่ตรวจวัด
โรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น 33-154 13-94 2.6-4.8 1.6-6.3 11.9-24.7 13.9-29.8
โรงผลิตไฟฟ้านวนคร 14-213 8-116 1.2-6.4 0-7.2 0.7-27 ไม่ตรวจวัด
โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง 19-89 9-44 <1-9.9 <1-24 <1-19.6 ไม่ตรวจวัด
โรงไฟฟ้าราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี 32-433 19-167 <1-68 1-68 1-38 ไม่ตรวจวัด
เป้าหมาย (ไม่เกินค่ามาตรฐานฯ*) 330 120 120 300 170 100
หมายเหตุ : μg/m3 หมายถึง ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร, ppb (part per billion) หมายถึง ส่วนในพันล้านส่วน
* ค่ามาตรฐานตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 21, 24, 28 และ 33

การจัดการเสียง

เสียงที่เกิดจากงานก่อสร้างและงานเดินเครื่อง-บำรุงรักษาโรงไฟฟ้า อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งมีชีวิต รวมถึงผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ดังนั้น โรงไฟฟ้าทุกแห่งจึงมีการออกแบบระบบหรือเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ช่วยลดเสียงจากแหล่งกำเนิด รวมทั้งดำเนินมาตรการอื่นร่วมด้วย การป้องกันผลกระทบเรื่องเสียงที่โรงไฟฟ้านำมาใช้ดำเนินการแบ่งได้เป็น 3 แนวทาง คือ การป้องกันที่แหล่งกำเนิดเสียง ทางผ่านของเสียง และตัวผู้รับเสียง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโครงการและผู้ที่ได้รับผลกระทบ

ผลการตรวจวัดระดับเสียง ปี 2567

โรงไฟฟ้าในประเทศไทยทั้ง 7 แห่ง (สัดส่วนรายได้ร้อยละ 62.05 ของรายได้รวมปี 2567) สามารถดำเนินการควบคุมผลกระทบเรื่องเสียงได้ตามมาตรการที่ EIA กำหนดทั้งหมด ทำให้ระดับเสียงเฉลี่ยและระดับเสียงสูงสุดที่ตรวจวัดปี 2567 ทั้งในที่ตั้งโครงการและในชุมชน อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน

หมายเหตุ : มาตรฐานระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง และระดับเสียงสูงสุด ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2540)

ทรัพยากรธรรมชาติ
ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงและอัตราการใช้ความร้อน
ดาวน์โหลด
กำลังการผลิตไฟฟ้าตามชนิดเชื้อเพลิง
ดาวน์โหลด
การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
ดาวน์โหลด
การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
การติดตามและประเมินการเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางชีวภาพ
ดาวน์โหลด
โครงการ คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน
ดาวน์โหลด
ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม
ระบบมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม
ดาวน์โหลด
คู่มือระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม
ดาวน์โหลด
ข้อปฏิบัติทางด้านสิ่งแวดล้อม
รายงานด้านสิ่งแวดล้อม
ดาวน์โหลด